สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เผย 9 เดือนของปี 2566 (เดือนมกราคม – กันยายน 2566) ยอดใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มร้อยละ 2.2 จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์ที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ คาดการณ์ใช้พลังงานขั้นต้นทั้งปี 66 อยู่ที่ ร้อยละ 1.3 ด้านสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผย 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9
วัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า จากรายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ของ สศช. ขยายตัวร้อยละ 1.5 ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และการใช้จ่ายของภาครัฐบาลลดลง เป็นผลมาจากการลดลงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขหลังการฟื้นตัวของโรคโควิด-19 ขณะที่การบริการขยายตัวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการอุปโภคบริโภคครัวเรือนขยายตัวต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนเร่งขึ้น ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 นั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนของปี 2566 (เดือนมกราคม – กันยายน 2566) พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นอยู่ที่ 2,039 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.2 ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติและ LNG ร้อยละ 9.4 รองลงมาคือ การใช้น้ำมันที่ร้อยละ 2.0 ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้ลิกไนต์ลดลงร้อยละ 9.8 การใช้ถ่านหินลดลง ร้อยละ 10.3 และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าลดลงที่ร้อยละ 11.7 ซึ่งสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนของปี 2566 สรุปได้ดังนี้
การใช้น้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ระดับ 139 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 โดยการใช้น้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 30 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 อย่างไรก็ตามจากการที่น้ำมันกลุ่มเบนซินมีราคาสูงทำให้มีการใช้สัดส่วนการใช้แก๊สโซฮอล95 สูงสุดที่ร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับแก๊สโซฮอล91 และเบนซิน95 ที่ร้อยละ 22 และ 2 ตามลำดับ สำหรับการใช้น้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 62 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงที่ร้อยละ 4.5 ผลจากราคาน้ำมันที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า อีกทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวทำให้การใช้น้ำมันในภาคขนส่งมีความต้องการลดลงไปด้วย ด้านการใช้น้ำมันเครื่องบิน อยู่ที่ระดับ 13.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.1 เป็นผลมาจากจากสถานการณ์การเดินทางภายในและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ด้านน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 5.7 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงร้อยละ 11.4 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG โพรเพน และบิวเทน) อยู่ที่ระดับ 18.5 พันตันต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 โดยการใช้ LPG เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็นร้อยละ 45 มีการใช้ลดลงร้อยละ 2.2 รองลงมาภาคครัวเรือนซึ่งมีสัดส่วนการใช้คิดเป็นร้อยละ 31 มีการใช้ลดลงร้อยละ 0.8 ภาคขนส่งมีสัดส่วนร้อยละ 13 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 10 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ในขณะที่การใช้เอง ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 1 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 95.4
ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซโซลีนธรรมชาติ (NGL) อยู่ที่ระดับ 4,478 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.5 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ผลิตไฟฟ้า ร้อยละ 11.1 ในขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 1.9 การใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 4.4 และใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ลดลงร้อยละ 1.4
ส่วนการใช้ ถ่านหิน/ลิกไนต์ อยู่ที่ระดับ 11,482 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงร้อยละ 10.2 โดยการใช้ ถ่านหิน ลดลงร้อยละ 10.3 จากการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าและการใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 9.3 และ 11.0 ตามลำดับ สอดคล้องกับการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศที่ลดลงร้อยละ 7.5 ส่วนการใช้ลิกไนต์ลดลงร้อยละ 9.8 ทั้งนี้ ร้อยละ 99 ของการใช้ลิกไนต์เป็นการใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนที่เหลือร้อยละ 1 นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม
วัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการใช้ไฟฟ้า ช่วง 9 เดือนของปี 2566 รวมทั้งสิ้น 153,932 กิกะวัตต์ชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 โดยการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ร้อยละ 42 อยู่ในภาคอุตสาหกรรม มีการใช้ลดลงร้อยละ 3.3 โดยเป็นการลดลงสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะพื้นฐานลดลงสูงสุดที่ร้อยละ 10.0 ในส่วนการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนสัดส่วนร้อยละ 29 มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 และการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ มีสัดส่วนร้อยละ 24 มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเมนท์และเกสเฮาส์ ทั้งนี้ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบ 3 การไฟฟ้าของปี 2566 (ในรอบ 9 เดือนของปี 2566) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 เวลา 21.41 น. อยู่ที่ระดับ 34,827 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบกับค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565
“สำหรับการคาดการณ์ความต้องการพลังงานขั้นต้น ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 2,022 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับปี 2565 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จากความต้องการการเดินทางที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทั้งการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศ การขยายตัวของการลงทุนทั้งการลงทุนภาคเอกชน โดยการใช้น้ำมัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบินจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศและ ในขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในภาคการผลิตไฟฟ้า สำหรับการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ คาดว่าจะลดลงร้อยละ 11.6 จากการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะลดลงร้อยละ 12.5 เนื่องจากลดลงของการนำเข้าไฟฟ้าจาก สปป.ลาว” วัฒนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย