จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายๆ ประเทศดำเนินนโยบาย Lock Down เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ด้วยนโยบายที่เข้มงวดนี้ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเกือบทุกประเภท ผู้ประกอบการบางรายที่ปรับตัวไม่ทันหรือสายป่านไม่ยาวพอก็จำเป็นต้องปิดตัวลง ในขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวได้ทันก็ต้องดำเนินธุรกิจต่อไป ถึงแม้ปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่การเฝ้าระวังก็ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดกลับมาใหม่
ทางกองบรรณาธิการได้ร่วมพูดคุยสัมภาษณ์ วิศิษฎ์ เจียรนัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอวีร่า จำกัด ผู้ที่อยู่ในวงการด้านไฟฟ้ามาอย่างยาวนาน เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ COVID-19 นั้นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของประเทศไทยอย่างไร และบริษัทมีวิธีการรับมือและแก้ไขให้ทันกับสถานการณ์อย่างไร เนื่องจากวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลกระทบทั่วทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ AVERA ที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้ากำลัง ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ถึงแม้จะประสบปัญหา แต่ AVERA ก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบคอบและมั่นคงยิ่งขึ้นด้วยเป็นผลจากวิธีคิดบวกและการปรับตัวอย่างทันท่วงทีของผู้บริหารนั่นเอง
“วิกฤตครั้งนี้ถือว่าร้ายแรงที่สุดเท่าที่พวกเราเคยประสบมา เพราะส่งผลกระทบทุกอุตสาหกรรมและเป็นไปทั่วโลก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ ก็ทำให้ได้ตระหนักว่า การก้าวต่อไปข้างหน้าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น การขยายการลงทุนจะต้องมองถึงความเสี่ยงให้มากขึ้น แต่จะไม่ให้วิกฤตนี้มาหยุดยั้งการเติบโตของบริษัท อาจจะต้องมีปรับการทำงานบ้าง แต่เป้าหมายของเราไม่เปลี่ยน ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ โดยจุดยืนคือ ขายสินค้าตรงตามสเปคทันเวลาพร้อมบริการที่ประทับใจ เราพูดได้เลยว่า ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ขายสินค้าไม่ตรงตามสเปค หรือส่งสินค้าที่ไม่ถูกต้องถึงแม้บางครั้งต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปบ้าง แต่เราก็ยังยึดมั่นความถูกต้องไว้เสมอ อย่างน้อยสิ่งที่ทำถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในสังคม แต่ถ้ามีคนทำมากขึ้นๆ สังคมก็ย่อมดีขึ้นๆ ตามไปด้วย”
15 ปีที่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยจุดเด่นที่ส่งมอบสินค้าตามสเปค ส่งมอบตามกำหนดระยะเวลา และการบริการที่ครบวงจร
บริษัท เอวีร่า จำกัด เกิดจากระสบการณ์ของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไฟฟ้ามาอย่างยาวนาน ทำให้บริษัทเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถ่องแท้และด้วยความพร้อมสูงสุดในการให้บริการด้วยความจริงใจ อีกทั้งความมุ่งมั่นในการเป็นผู้คัดสรรอุปกรณ์ด้านไฟฟ้ากำลังที่มีความเหมาะสมทั้งด้านราคาและคุณภาพ เพื่อส่งให้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างมั่นใจ สินค้าจาก AVERA ได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นปัจจุบันและต่อไปในอนาคต AVERA ยังคงไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาและคัดสรรสินค้าคุณภาพที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคต่อไป พร้อมทั้งการบริการทั้งด้านการปรึกษา การดูแลรักษาอย่างครบวงจรในตลาดประเทศอย่างยั่งยืน
“สินค้าของ AVERA ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากยุโรปเพราะคนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าสินค้าจากยุโรปจะเป็นสินค้ามีคุณภาพ มีมาตรฐานที่ดี และใช้เทคโนโลยีอย่างทันสมัย แต่เมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถนำเข้าได้ ทาง AVERA อาจจะให้ความสนใจสินค้าในเอเชียมากขึ้น สินค้าเดิมเราจะรักษาไว้ และมองหาสินค้าใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเราให้ครอบคลุมมากที่สุด ดังนั้นทางบริษัทก็ต้องปรับตัวและบริหารจัดการสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต่อไป”
AVERA มีการดูแลงานบริการหลังการขายด้วยทีมงานมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมง มีบริการตรวจสอบงานติดตั้งและซ่อมบำรุงอุปกรณ์ภายในตู้สวิตช์บอร์ด นอกจากนั้นยังมีการสอบเทียบมิเตอร์ (Calibration) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของมิเตอร์และค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงบริการให้คำแนะนำการใช้งานสินค้าและตอบปัญหาข้อมูลทางเทคนิคต่างๆ
SPECIALISING IN THE BUSINESS
- Intelligent Energy Management System
- Internal and External Lightning Protection
- Premium Indoor Parking Guidance System
- Intelligent Charging Solutions for Electric Vehicles
- Electrical Low Voltage and Medium Voltage Products
- Preventive Maintenance and Service
“จุดแข็งของ AVERA คือ เราเป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่ทำให้การตัดสินใจต่างๆ ทำได้รวดเร็ว เข้าถึงได้ง่าย แตกต่างจากบริษัทใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ การดำเนินการต่างๆ มีขั้นตอนมากกว่า นอกจากนี้ ผู้บริหารยังได้มอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่หัวหน้างาน เพื่อทำให้การทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยจุดแข็งนี้ ทำให้ AVERA สามารถยืนหยัดในตลาดมามากกว่า 15 ปีแล้ว”
“หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ข้อคิดเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีสติ
ก่อนเกิดโควิด-19 AVERA เตรียมความพร้อมที่จะขยายการลงทุนมากขึ้น เพราะคิดว่าเป็นโอกาสให้เติบโต แต่เมื่อต้องประสบกับวิกฤตโควิด-19 สิ่งหนึ่งที่ตระหนักคือ ต้องทำทุกอย่างอย่างมีสติ จึงเริ่มกลับมาคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่อยากทำต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ดังพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง”
“คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่ใช่หมายความว่าไม่ให้ทำอะไรเลยไม่ลงทุน ไม่ทำธุรกิจ แต่หมายความว่าทุกอย่างที่ทำต้องอยู่บนความมีสติมีความพร้อม ไม่ประมาท มองทุกอย่างให้รอบด้าน อย่าคิดแค่สิ่งที่จะได้ว่าต้องรีบขยายงานขยายตลาด มีโอกาสแล้วต้องรีบกู้เงินมาลงทุนคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นโอกาสดี แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ทั้งหมด ต่อไปจากนี้จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น”
นอกจากการทำงานอย่างมีสติแล้ว วิกฤตครั้งนี้ยังทำให้ คุณวิศิษฎ์ได้ข้อคิดในการทำธุรกิจว่า การที่ธุรกิจจะก้าวไปข้างหน้านั้นต้องเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน อาทิ การสื่อสารกับพนักงานให้มีความเชื่อมั่นต่อบริษัท ควบคุมและดูแลค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึงรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้ และมองหาลูกค้าหรือตลาดใหม่ๆ พัฒนาคุณภาพการทำงาน ซึ่งทาง AVERA ได้นำระบบ ERP ของต่างประเทศมาใช้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในบริษัทให้ดีขึ้น นอกจากนั้น ต้องเสนอโซลูชั่นที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้า ทำให้ลูกค้าทำงานง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้นสอดรับกับวิถี New Normal ในปัจจุบัน
Turst สร้างความเชื่อมั่นด้วยการสื่อสารที่ชัดเจนต่อผู้เกี่ยวข้อง
ด้วยนโยบาย Lock Down ส่งผลให้การส่งออก-นำเข้าสินค้าได้รับผลกระทบมากที่สุด สายการบินทุกสายต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะธุรกิจของบริษัทต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ สิ่งที่ผู้บริหารรีบดำเนินการคือการบริหารจัดการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า คุณวิศิษฎ์ กล่าวว่า
“สิ่งที่ต้องบริหารจัดการคือ “Turst” นั้นคือ การสื่อสารกับพนักงานอย่างตรงไปตรงมาว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของบริษัทเป็นอย่างไร บริษัทไม่เลือกวิธีลดเงินเดือนพนักงาน เพราะบริษัทจะไม่สามารถเดินหน้าได้ ถ้าขาดคนทำงาน แต่เราใช้วิธีเพิ่มศักยภาพของพนักงานแทน โดยพนักงานจะต้องทำงานได้หลายหน้าที่ สร้างความพร้อมรับมือและหาวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความร่วมมือกัน ซึ่งจะทำให้พนักงานกับบริษัทเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน”
ในส่วนของลูกค้านั้น บริษัทได้สอบถามลูกค้าว่าประสบปัญหาใดบ้างเพื่อหาจุดที่เหมาะสมร่วมกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหา บางส่วนบริษัทก็ยินดีลดราคาให้เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ใช้สินค้าที่หลากหลายขึ้น หรือแม้กระทั่งยืดระยะเวลาการชำระเงินก็ตาม เพราะหากพอใจ ต่อไปก็จะได้เป็นลูกค้าระยะยาวต่อไปได้ ด้วยวิธีการทำงานร่วมกันเช่นนี้ ก็เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถทำงานได้ เพราะถ้าลูกค้าอยู่ไม่ได้บริษัทก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
“นอกจากพนักงานและลูกค้าที่บริษัทต้องสร้างความเชื่อมั่นแล้ว คู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ก็เป็นอีกส่วนประกอบสำคัญหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เราเข้าใจดีว่าทางซัพพลายเออร์เองก็มีเป้าหมายทางการตลาด ดังนั้นเราจึงต้องพยายามช่วยซัพพลายเออร์บรรลุเป้าหมายให้ได้เป็นการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน หากเราทำไม่ได้ คู่ค้าขาดความเชื่อมั่น อาจจะมองหาคู่ค้ารายอื่นที่คิดว่ามีศักยภาพกว่า แต่หากเราเลือกที่จะทำกำไรน้อยลงแต่ยังรักษาปริมาณการจัดจำหน่าย มันจะสร้างความเชื่อมั่นให้ซัพพลายเออร์ได้ และส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า”
CLMV ตลาดที่น่าสนใจแต่ต้องศึกษาให้ละเอียด
ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยจำนวนมากได้เข้าไปลงทุนในตลาด CLMV โดยเฉพาะเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตด้านเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศอื่นๆ แต่ในส่วนของธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น คุณวิศิษฎ์ยอมรับว่าการจะประสบความสำเร็จไม่ง่ายเลย
“AVERA สนใจตลาด CLMV เช่นกัน แต่จากการศึกษาบริษัทอื่นๆ ที่เข้าไปทำตลาดก่อนเราพบว่า ธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้ามีผู้ประสบผลสำเร็จน้อยมาก อาจจะด้วยวัฒนธรรม วิถีชีวิต โดยเฉพาะการจะเข้าไปตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่าย ทางเลือกคือส่งสินค้าให้กับคู่ค้าโดยให้เขาทำตลาดเอง หรือตั้งบริษัทร่วมทุนก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี ปัจจุบันเวียดนามมีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้อีกมาก ด้วยจุดแข็งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเต็มที่ แก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เคยเป็นปัญหา ทักษะความพร้อมทั้งด้านภาษาและแรงงาน และประชาชนให้ความสนใจด้านค้าขายสิ่งเหล่านี้สามารถดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้ แต่จุดอ่อนคือระบบสาธารณูปโภคที่ยังไม่พร้อมนัก การจะเข้าไปทำตลาดต้องศึกษาให้ละเอียด รอบคอบ”
รวดเร็ว จริงใจ โปร่งใส และเป็นธรรม
ด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ภาคเอกชนแทบจะไม่มีการลงทุนเพิ่ม ยกเว้นกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่ม เช่น ยานยนต์ ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากการประกาศเพิ่มทุนของกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ส่งออก ดังนั้นเมื่อภาคเอกชนไม่มีการลงทุน ก็ต้องพึ่งพาการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นบ้าง
“กลุ่มตลาดเป้าหมายของ AVERA ที่ผ่านมาจะเน้นไปที่ภาคเอกชนเป็นหลัก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเน้นไปที่ภาครัฐมากขึ้น แต่ภาครัฐเองก็ต้องปรับการทำงานให้รวดเร็ว จริงใจ โปร่งใส และเป็นธรรม ภาครัฐจะต้องเอื้อให้ภาคเอกชนทำงานได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้นโดยเฉพาะการนำเข้า-ส่งออก ศุลกากรควรใช้เวลาน้อยลง เมื่อผู้ประกอบการทำงานได้สะดวกขึ้นย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวเร็วขึ้น ภาครัฐจะต้องทำงานด้วยความจริงใจ ที่ผ่านมาภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างได้ผล แต่บางเรื่องต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที ส่วนเรื่องความโปร่งใสนั้น ด้วยมาตรการหลายอย่างที่มีการประกาศออกมานั้น ยอมรับว่าบางเรื่องยังลงไม่ถึงผู้ประกอบการรายเล็ก การกำหนดนโยบายต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน ผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่ต้องเสมอภาคกันจึงจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง”
สุดท้าย คุณวิศิษฎ์ เจียรนัย กล่าวย้ำว่า ถึงแม้จะไม่อาจทราบได้ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อใด แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงก็คือการเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค ด้านรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นทุกคนต้องเร่งปรับตัว ปรับทัศนคติ รวมไปถึงการปรับแผนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าและสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำธุรกิจให้มากที่สุด รวมทั้งต้องไม่ลืมการตอบแทนสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
Source: นิตยสาร Electricity & Industry Magazine ปีที่ 27 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม-สิงหาคม 2563
คอลัมน์ Interview โดย กองบรรณาธิการ