บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างการเติบโตธุรกิจไฟฟ้า รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากวิถีปกติใหม่ในทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งทุกกิจกรรมจะต้องใช้ไฟฟ้าเป็นปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 800 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปข้อตกลงในปีนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จร่วมทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ประเภทโคเจนเนอเรชั่น 2 แห่งในประเทศไทย มูลค่าการลงทุนส่วนทุนรวม 888 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ จะต่อยอดการลงทุนพัฒนาโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวิถีชีวิตปกติใหม่จากธุรกิจที่ลงทุนแล้ว ได้แก่ โครงข่าย Internet of Things (IoT) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลหลังวิกฤติโควิด-19
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าให้บรรลุเป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น อีกทั้งจะมีการพัฒนาคิดค้นนวัตกรรม และนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิตรองรับวิถีปกติใหม่หลังจากนี้ เพื่อให้เกิดการรักษาระยะห่างทางสังคมลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ผลการดำเนินไตรมาสที่ 1 ปี 2563 รายได้จากส่วนแบ่งกำไรกิจการร่วมทุนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีสัดส่วนร้อยละ 32.9 ของรายได้รวม ปัจจัยสำคัญมาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาที่มีการเดินเครื่องเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงโรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อย และโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น ที่จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้ สำหรับรายได้รวม มีจำนวน 4,506.78 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ ควบคุมจำนวน 2,925.01 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.9 ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนจำนวน 1,480.64 ล้านบาท และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 101.13 ล้านบาท”
ทั้งนี้ จากวิกฤติโควิด-19 ราช กรุ๊ปมองเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส จึงได้เพิ่มน้ำหนักในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากโรคระบาด รวมทั้งการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสังคม สำหรับโอกาสนั้น ได้เล็งเห็นศักยภาพในการลงทุนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ธุรกิจสีเขียว โครงการ Independent Power Supply (IPS) เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต การต่อยอดธุรกิจจากโครงข่าย IoT เพื่อตอบสนองภาคธุรกิจและผู้บริโภค การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ รวมถึงการลงทุนพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ของธุรกิจและสังคมร่วมกับกลุ่ม กฟผ. นอกจากนี้ ราช กรุ๊ป ยังได้ใช้โอกาสจากการทำงานทางไกล ยกระดับศักยภาพขององค์กรเพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้เป็น Smart Workplace ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทำงานเชื่อมต่อกันภายในและ ซัพพลายเชน นำระบบแอพพลิเคชั่นที่รองรับการทำงานของพนักงานแต่ละวัย ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือรูปแบบการทำงานแบบบุคคลที่เปลี่ยนไปสู่การทำงานเป็นทีมดิจิทัล ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุนการดำเนินธุรกิจด้วย