ทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกกำลังก้าวหน้าขึ้นทุกขณะ หากผู้ประกอบการใดไม่ปรับตัวอาจจะทนรับแรงปั่นป่วนจากกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ยาก ซึ่งเป็นที่มาที่ธุรกิจทุกภาคอุตสาหกรรมควรจะต้องวางนโยบายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) นั้น คือการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือธุรกิจ โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุง เพื่อให้ธุรกิจหรือองค์กรมีความพร้อมในโลกดิจิทัลมากขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าการพัฒนาเป็นไปแบบก้าวกระโดด ดังนั้น การจะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้จึงควรมุ่งเน้นไปที่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมยุทธศาสตร์การดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาวขององค์กรในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำและความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของบุคลากรในองค์กรด้วยการปรับตัวจึงจะประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) ผู้ให้บริการโซลูชันครบวงจรด้านโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมของไทย ได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ดังกล่าว จึงได้ก่อตั้งบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ขึ้น โดยจะเป็นผู้ให้บริการดาต้าโซลูชันและดิจิทัล แพลตฟอร์มต่างๆ โดยมีบริการดาต้าเซนเตอร์ 4 แห่ง บริการไฟเบอร์ออพติก (FTTx) และได้เข้าถือหุ้นในบริษัท Supernap Thailand ตลอดจนมีการลงทุนด้านดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเชิงอัจฉริยะของลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
ไกรทส องค์ชัยศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ธุรกิจในกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัล แพลตฟอร์ม ด้วยบริการโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับลูกค้า ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ธุรกิจในกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเพื่อต้องการยกระดับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เพื่อสนองรับนโยบายรัฐบาลในด้าน EEC (Eastern Economic Corridor) โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามการส่งเสริมและสนับสนุน New S-Curve ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมจะเกี่ยวเนื่องกับด้านดิจิทัล เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
“ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท เป็นส่วนหนึ่งของการนำลูกค้าก้าวไปสู่การปฏิวัติการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ทำให้ลูกค้าได้รับบริการสัญญาณสื่อสารความเร็วสูงที่เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ไม่ว่าจะเป็น Robotics, AI, IoT, Cloud Computing, Big Data โดยมีเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2024 จะเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครบวงจร (Iaas, PaaS, SaaS) และเป็นผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์ด้านเฮลธ์แคร์ของโลก ดังนั้น ในการออกแบบและสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีระดับโลกที่ดีที่สุดเพื่อรองรับในวันนี้และอนาคต”
เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จึงได้เสริมศักยภาพเพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจ ดิจิทัล โดยเลือกแพลตฟอร์มอีโคสตรัคเจอร์ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ (EcoStruxureTM for Data Center) ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สนับสนุนการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับท็อปเทียร์ ของดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท ถึง 2 แห่ง เพื่อการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งสัปดาห์ โดยอีโคสตรัคเจอร์ (EcoStruxureTM) ให้การมองเห็นการทำงานของระบบที่ครบถ้วน ทั้งข้อมูลเชิงลึกเพื่อลดความเสี่ยงและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ถึง 15%
“ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท ใช้อีโคสตรัคเจอร์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ด้วยแพลตฟอร์มที่มีนวัตกรรมครบวงจรทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ การเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ (Connected Products) ระบบควบคุมปลายทาง (Edge Control) และในระดับแอปพลิเคชัน การวิเคราะห์ รวมถึงการบริการ (Apps/Analytics/Services) ให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ในการให้บริการแก่ธุรกิจในเครือของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป รวมถึงลูกค้าทั้งในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ และลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ยังเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ใช้บริการ Critical Facility Operations จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย”
ไกรทส กล่าวเพิ่มเติมว่า “โซลูชัน อีโคสตรัคเจอร์ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้สามารถควบคุมดูแลกระบวนการทำงานต่างๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบผ่านโครงสร้างของอีโคสตรัคเจอร์ในระดับต่างๆ ตั้งแต่การเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ไปจนถึงระดับระบบควบคุมปลายทาง ที่ใช้งานง่าย มีความคล่องตัว และปลอดภัย ด้วยความสามารถในการมอนิเตอร์และรับการแจ้งเตือนผ่านสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ ในระดับของแอปพลิเคชัน การวิเคราะห์และการบริการ ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิทใช้อีโคสตรัคเจอร์ แอสเสท แอดไวเซอร์ (EcoStruxure Asset Advisor) ซึ่งเป็นบริการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบต่างๆ จากข้อมูลที่ได้รับจากเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ ช่วยในการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์และรวมไปถึงการแจ้งเตือนอัจฉริยะส่งตรงถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ด้วยข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการของดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังให้บริการ Critical Facility Operations ซึ่งเป็นบริการที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ดำเนินการ และการแก้ไขปัญหาให้แก่ดาต้าเซ็นเตอร์ของดับบลิวเอชเอ 2 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 4 แห่ง เพื่อให้มีความพร้อมในการให้บริการวันละ 24 ชั่วโมงตลอดทั้งสัปดาห์ พร้อมรายงานและการรับประกันตามมาตรฐานระดับโลก ซึ่งในภาพรวมสามารถประหยัดการใช้พลังงานได้ถึง 15% และช่วยให้ระบบมีความพร้อมใช้งานแบบ 100%”
“โซลูชัน อีโคสตรัคเจอร์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริคช่วยให้สามารถควบคุมดูแลกระบวนการทำงานต่างๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบผ่านโครงสร้างของอีโคสตรัคเจอร์ในระดับต่างๆ”
อนึ่ง บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) ถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการให้บริการโซลูชันครบวงจรด้านโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมของไทย โดยธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัล แพลตฟอร์ม ด้วยบริการโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้
- กลุ่มธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์ มุ่งให้บริการศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า และโรงงานแบบ Built-to-Suit แบบพรีเมียมที่ได้มาตรฐานระดับโลกแก่ลูกค้า โดยบริษัทฯ เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดการสร้างอาคารอุตสาหกรรมแบบ Built-to-Suit มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยปัจจุบันมีพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานแบบ Built-to-Suit รวมทั้งสิ้นกว่า 2,300,000 ตารางเมตร บนทำเลที่ตั้งในจุดยุทธศาสตร์กว่า 20 แห่งทั่วประเทศ
- กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมคุณภาพระดับโลก ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ มีทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ได้แก่ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงบริการอุตสาหกรรมต่างๆ ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 11+ แห่ง บนพื้นที่กว่า 48,627 ไร่ (7,780 เฮกตาร์) โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และสระบุรี ในปี พ.ศ.2561 คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ 9 แห่ง เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) สอดคล้องกับพันธกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการมุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของประเทศด้วย รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1-เหงะอาน ในประเทศเวียดนามอีกหนึ่งแห่ง
- กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้ำ ในฐานะผู้ให้บริการด้านระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการร่วมลงทุนด้านไฟฟ้ากับผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าชั้นนำของโลก ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จึงสามารถสร้างความมั่นใจในการให้บริการด้านสาธารณูปโภคแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในเครือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีกำลังการผลิตน้ำรวมถึง 105 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของโรงไฟฟ้าที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์รวม 521 เมกะวัตต์
- กลุ่มธุรกิจดิจิทัล บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ในเครือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีบริการดาต้าโซลูชันและดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างครบครัน โดยมีบริการดาต้าเซ็นเตอร์ 4 แห่ง บริการไฟเบอร์ออพติก (FTTx) และได้เข้าถือหุ้นในบริษัท Supernap Thailand ตลอดจนมีการลงทุนด้านดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเชิงอัจฉริยะของลูกค้า ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
Source: นิตยสาร Electricity & Industry Magazine ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 มีนาคม-เมษายน 2563
คอลัมน์ Interview โดย กองบรรณาธิการ