บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) โชว์ฟอร์มเด่น ประกาศงบงวด 6 เดือนแรกปี 2567 ทะยานต่อเนื่อง อานิสงส์ยอดขายธุรกิจน้ำ – ไฟฟ้าเติบโต ดันกำไรสุทธิแตะ 802 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้าน CEO “สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ” ระบุภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังส่อแววสดใสต่อเนื่อง เหตุดีมานด์ธุรกิจน้ำ – ไฟฟ้า ยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมลุยต่อยอดการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อเนื่อง
บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 2,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% กำไรปกติ (Normalized Net Profit) จำนวน 682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และมีกำไรสุทธิซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรมีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจน้ำในประเทศรวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจน้ำในต่างประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจากในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ได้รับปัจจัยบวกจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรในส่วนของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น
สมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) ในไตรมาส 2/2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ 43 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 2/2566 ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มียอดจำหน่ายและบริหารน้ำรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่ากับ 84 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายน้ำในประเทศมีการเติบโตขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added product) ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการใช้น้ำของกลุ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจน้ำในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ อาทิเช่น โครงการการให้บริการน้ำประปาในพื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณ 2.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และโครงการผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงให้กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จำนวน 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาขายน้ำทั้ง 2 โครงการดังกล่าวไปในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา
ในส่วนของธุรกิจน้ำในต่างประเทศนั้น ปริมาณการจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนามมีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายน้ำของโครงการ Doung River ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ในการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำรวมในประเทศเวียดนาม ตามสัดส่วนการถือหุ้น เท่ากับ 17 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 13% ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Duong River จำนวน 40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนอยู่ที่ -12 ล้านบาท
ด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 201 ล้านบาท ลดลง 27% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 ในขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นจากการที่จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรในส่วนของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากสัญญา Private PPA ทั้งสิ้น 197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 131 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ประเภท Private PPA เพิ่มจำนวน 11 สัญญา กำลังการผลิตประมาณ 13 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีการลงนามในสัญญาโครงการ Solar Private PPA สะสมทั้งสิ้น 256 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ราว 932 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวน 682 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน 250 เมกะวัตต์
สำหรับภาพรวมธุรกิจไฟฟ้าในครึ่งปีหลัง 2567 คาดว่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน จากการเดินหน้าต่อยอดการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นด้านพลังงานใหม่ๆ โดยคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานสะอาดเพิ่มเติม รวมทั้งการเปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการติดตั้งไปแล้วจำนวน 34 ตู้ชาร์จ สอดรับกับแผนการลงทุนใน Green Logistics แบบครบวงจรของ WHA Group
นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่าในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ โดยมีวงเงินรวม 2,500 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) จำนวน 800 ล้านบาท ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนสถาบัน-รายใหญ่เป็นอย่างดีด้วยยอดจองล้นกว่า 3 เท่า จากความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานและแผนธุรกิจของบริษัทฯ สะท้อนความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับรางวัล “คนดี รักษ์โลก” จากวุฒิสภา จากการขับเคลื่อนธุรกิจที่ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน หรือ ESG Emerging List ปี 2567 และได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการได้รับรางวัลจากองค์กรระดับชั้นนำ เป็นการตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน