เอชพีอี ผนึก สวทช. ยกระดับ วทน.ไทย ด้วยระบบชูเปอร์คอมพิวเตอร์


เอชพีอี ร่วมกับศูนย์ไทยเอสซี ภายใต้สวทช. ยกระดับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไทย ด้วยระบบชูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน

เอชพีอี ผนึกศูนย์ไทยเอสซี ภายใต้สวทช. ยกระดับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน) ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน เพื่อรองรับการวิจัยและประมวลผลข้อมูลชั้นสูง เผยผลงานล่าสุดประมวลผลข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัส เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด หลายหน่วยงานรวมถึงการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ได้ล่วงหน้า3 วัน

พลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)หรือ เอชพีอี กล่าวว่า บริษัท เอซพีอี มีดวามภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจ จากศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการตำนวณขั้นสูงหรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC )ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานทาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure) ของ สวทช. ในการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ หรือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัดกรรม(วทน)ในระดับประเทศ

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำเสนอระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีที่สุดของ Hewett Packard Enterprise (HPE)คือ HPE Cray EX supercomputer ที่ประกอบด้วย CPU รุ่นล่าสุดจาก AMD EPYCTM เจนเนอเรชั่น ที่ 3 (Milan) จำนวน 496 CPUs/ 31,744 cores และมี 704 NVIDIA A100 GPU ที่ได้ประสิทธิภาพการประมวลผลในทางทฤษฎี (peak performance) ถึง 13 Petaflop ซึ่งจะเป็นระบบซูเปร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการจัดอันดับประสิทธิภาพซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดย top500.org และมีขีดความสามารถการคำนวณที่สูงกว่าระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ สวทช. มีอยู่เดิม (ระบบ TARA) ถึง 30 เท่า อีกทั้งมีการระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooling) ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้า (PUE) ที่ดีที่สุด โดยมีระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง Cray ClusterStor E 1000 ที่มีความจุรวม 12 เพดะไบด์ (petabytes) เชื่อมต่อด้วย HPE Slingshot Interconnect ที่ความเร็ว 200 กิกะบิดต่อวินาที (Gbps)

ระบบดังกล่าวคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จและเปิดใช้งานในปี 2666


ด้านดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการดำนวณขั้นสูง หรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center ThaiSC) เป็นหนึ่งในหน่วยงานโดรงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure)ของ สวทช. เพื่อสนับสนุนนักวิจัยทั้งจากสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยฯ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน โดยที่ระบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับนักวิจัย อันได้แก่

  • ปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Artificial Intelligent & Big Data Analytics)ต้องใช้ระบบ HPC ในขั้นตอนการสอน AI โมเดล (Training) ที่มีความซับซ้อนและแม่นยำสูงโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนา
  •  พันธุวิศวกรรม และ ชีวสารสนเทศเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ (Genomics and Bioinformatics for medical research) ที่ต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมปริมาณมหาศาลของคน พืช และสัตว์ เพื่อนำข้อมูลที่ใด้ไปใช้ต่อยอดในงานวิจัยหรือการพัฒนา อาทิ การพัฒนาระบบการแพทย์แม่นยำ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติในปัจจุบัน
  •  การจำลองอนุภาคในระดับนาโน และอะตอมสำหรับการวิจัยวัสดุขั้นสูง (Nanoscale and atomistic-scale simulations for advanced materials research) เช่น การพัฒนายา วัดซีน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ แบตเตอรี่ และการพัฒนาวัสดุล้ำยุคต่าง ๆ
  •  การทำแบบจำลองทางวิศวกรรม สำหรับการวิจัยทางอุตสาหกรรม (Engineering simulations for industrial research) เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของยานยนต์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย เพื่อลดการลงทุนสร้างตันแบบเทคโนโลยี
  •  บรรยากาศศาสตร์ และการจัดการภัยพิบัติ (Atmospheric science and disaster management) เช่น การคำนวณคาดการณ์สภาพอากาศ การจำลองภัยพิบัติ หรือคาดการณ์ระดับค่ามลพิษของประเทศ เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจุบันไทยเอสซี (ThaiSC) ให้บริการการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (High Performance Computing :HPC) ภายใต้ระบบคลัสเตอร์ TARA HPC ที่ประกอบด้วย 4,320 cores และ 28 NVIDIA V100 GPU โดยมีพื้นที่เก็บข้อมูล 750 เทระไบด์ (TB) เชื่อมต่อบนระบบเครือข่ายความเร็ว 100 กิกะบิดต่อวินาที (Gbps) โดยให้บริการกับโดรงการวิจัยภายใน สวทช. เป็นหลัก และได้มีการเปิดรับโดรงการจากภายนอก สวทช. ทั้งจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน

ในช่วงวิกฤต โควิด-19 ทางไทยเอสซี ได้มีโอกาสช่วยสนับสนุนการวิจัยและประมวลผลข้อมูล ทางพันธุกรรมของไวรัส (Genomes) เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 อาทิ การสนับสนุน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยายในการดำเนินโครงการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทดนิดทางเคมีคำนวณขั้นสูง เพื่อใช้ Supercomputer ในการคัดกรองสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในยารักษาโรคที่มีการใช้งานอยู่เดิม ว่าสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการทำงานของไวรัส SARS-COV-2 หรือไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิตยา (ขณะนั้นยังไม่มียารักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ) และได้ให้บริการแก่กลุ่มวิจัย COVID-19 Network Investigations (CONI) ในการใช้ Supercomputer เพื่อการดำเนินโครงการถอดรหัสจีโนมไวรัสสายพันธุ์ SARS-COV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย โดยใช้ Supercomputer ในการประมวลผลยืนยันสายพันธุ์ไวรัส SARS-COV-2 ลดเวลาในการคำนวณจาก 1 สัปดาห์ เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้สามารถส่งมอบข้อมูลสายพันธุ์ไวรัส SARS-COV-2 ที่กำลังระบาดให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนรับมือการระบาดของโรคได้ทันการณ์นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ กรมควบคุมมลพิษ พัฒนาการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เฉพาะทาง ด้านมลพิษทางอากาศ (WRF-chem ) เพื่อดาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือพีเอ็ม 2.5 ได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า ทำให้กรมควบคุมมลพิษสามารถดาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ 9 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศ กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับมือได้ทันต่อสถานการณ์” ดร. ณรงค์ กล่าว

ดร.ปิยวุฒิ ตรีชัยกุล ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการดำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ThaiSC มีทีมนักวิจัยและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางต้านเทคโนโลยีด้านการดำนวณขั้นสูง (HPC Specialist) ที่สามารถให้คำแนะนำเรื่องการใช้ Supercomputer กับงานวิจัยหลายด้าน โดยเฉพาะใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics), การจำลองแบบวิศวกรรม (Engineering Simulations), เคมี-ฟิสิกส์ และ AI (Artificial Intelligence) โดยศูนย์ ThaiSC ยังมีเครือข่ายความร่วมมือด้านวิจัยพัฒนากับศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำทั่วโลก รวมไปถึงมีพันธกิจในการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ HPC ในประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและยกระดับ วทน. ให้กับประเทศในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดให้บริการกับผู้ใช้งานทั่วประเทศในปี 2565

พลาศิลป์ กล่าวเสริมว่า ทางเอชพีอีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับไทยเอสซีในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ทางต้านไอทีเพื่อให้คนไทยได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้มีความสามารถทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ
ทั้งนี้ที่ผ่านมาเกชพีได้ติดตั้งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้กับโดรงการต่างๆมากมาย อาทิเช่น

  •  U.S. Exascale Syetem ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ถึง 4 โดรงการใหญ่รวมมูลค่า 1.5 พันล้านดอลล่า สหรัฐฯ โดยการนำเสนอ HPE Cray EX Supercomputer (Shasta architecture)
  •  Singapore’s National Supercomputing Centre (NSCC) ของประเทศลิงคโปร์ ซึ่งตาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 มีพลังการประมวลผลถึง 10 Petaflops (RAW โดยใซ CPU N AMD EPYCTMจำนวนเกือบ 900 CPUS และมี 352 NVIDIA A100 GPU จัดเก็บข้อมูลตัวย Cray ClusterStorE1000 ความจุ 10 เพตะไบต์เชื่อมต่อฝาน HPE Slingshot Interconnect
  •  UK Meteorological office ประเทศอังกฤษในปี 2020 ในการนำเสนอ HPE Caray Supercomputer ที่มีพลังการประมวลผล 60 petaflops สำหรับการวิจัยแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change modeling) โดยใช้ CPU จาN AMD EPYCTM และ AMD InstinctTM GPU
  •  Setonix Supercomputer ติดตั้งที่ Pawsey Supercomputing Centre ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้เริ่มติดตั้งในปี 202 1 และคาดว่าสามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในปี 2022 โดยมีพลังประมวลผลถึง 50 Petaflops ที่ถูกออกแบบสำหรับประมวลผลแบบจำลอง (Modeling and Simulation) ที่ซับซ้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยในต้านต่างๆ อันได้แก่ การศึกษาคลื่นวิทยุที่ได้รับจากอวกาศ (Radio Astronomy), พยาธิวิทยาของพืช (plant pathology) การวิจัยเกี่ยวกับยา และ AI เป็นต้น โดยใช้ CPU จาก AMD EPYCTM 2 แสนกว่า CPU cores และ 750 AMD InstinctTM GPU จัดเก็บข้อมูลด้วย HPE Cray ClusterStor E1000


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เอง โดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save