Red Hat เปิดตัว OpenShift Platform Plus เวอร์ชันล่าสุดเพื่อบริหารจัดการการทำงานบนไฮบริดคลาวด์ให้สอดคล้องกันมากขึ้นความสามารถใหม่ ๆ นี้ ช่วยให้ใช้ Kubernetes stack ได้ง่ายขึ้นเพิ่มความคล่องตัว สร้างมาตรฐานในการพัฒนาและการบริหารจัดการแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ เอดจ์ ไปจนถึง มัลติพับลิคคลาวด์
เร้ดแฮท อิงค์ ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก เปิดตัว Red Hat OpenShift Platform Plus รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมฟีเจอร์และความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์ม Kubernetes พื้นฐานทั่วไป ให้ตอบสนองการใช้งานด้านสตอเรจ การบริหารจัดการ และอื่น ๆ อีกมาก นับเป็นการยกระดับ Red Hat OpenShift Platform Plus ให้เป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes หนึ่งเดียวที่รองรับความต้องการด้านไอทีขององค์กรได้ครบถ้วนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมการทำงานที่ดิสทริบิ้วเต็ดเอดจ์ หรือสภาพแวดล้อมมัลติพับลิคคลาวด์ รายงาน The Innovation Leader’s Guide to Navigating the Cloud-Native Container Ecosystem ของบริษัทวิจัย การ์ทเนอร์ (Gartner®) ให้คำแนะนำว่า“องค์กรต่าง ๆ ควรกำหนดมาตรฐานไว้บนแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรเพียงหนึ่งเดียวให้ครอบคลุมกรณีการใช้งานที่หลากหลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”[1] การที่องค์กรต่าง ๆ ใช้แอปพลิเคชันมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้แพลตฟอร์มคลาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วย Kubernetest ที่นอกจากจะใช้รองรับโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์แล้ว ยังต้องรองรับเวิร์กโหลดและแอปพลิเคชันหลากหลายที่ทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานนี้ด้วย
Red Hat OpenShift Platform Plus ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อใช้เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานที่มีความมั่นคงให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดมาตรฐานด้านไอทีเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์มรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ประกอบด้วยเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างปกป้อง และจัดการแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นตลอดอายุการใช้งานของซอฟต์แวร์ และใช้ได้กับคลัสเตอร์ Kubernetes ทั้งหมด เทคโนโลยีพื้นฐานที่ได้รับการอัปเดทประกอบด้วย
- Red Hat OpenShift 4.11
- Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes 2.6
- Red Hat OpenShift Data Foundation 4.11
แพลตฟอร์มครบวงจรสำหรับเวิร์กโหลดต่าง ๆ ที่รันอยู่บนไฮบริดคลาวด์การที่องค์กรต่าง ๆ ยังปรับขนาดสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการระบบที่มั่นคง สอดคล้องกัน และใช้ได้กับทุก ๆ สถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพิ่มขึ้นตามไปด้วย Red Hat OpenShift 4.11 ที่ทำงานกับรันไทม์อินเทอร์เฟซ Red Hat OpenShift 4.11 และ CRI-O 1.24 ได้รับการออกแบบเพื่อทำให้ใช้ Kubernetes ระดับองค์กรได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะใช้อย่างไรและที่ไหนบนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์
Red Hat OpenShift เวอร์ชันล่าสุดช่วยให้องค์กรสามารถติดตั้ง OpenShift ได้โดยตรงจาก marketplace ของผู้ให้บริการพับลิคคลาวด์สำคัญ ๆ ในตลาด เช่น AWS marketplace และ Azure marketplace ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่องค์กรในการเลือกที่จะรัน OpenShift ตามลักษณะที่ต้องการ และช่วยให้ทีมงานฝ่ายไอทีตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องได้ดีขึ้น
ฟีเจอร์และความสามารถใหม่ ๆ ของ Red Hat OpenShift 4.11 ประกอบด้วย
- Pod Security Admission integration: ช่วยให้ผู้ใช้ระบุระดับการแยกระบบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันให้กับ Kubernetes pod ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ควบคุมลักษณะการทำงานของ pod ได้อย่างชัดเจน สม่ำเสมอ และสอดคล้องกันมากขึ้น
- Installer Provisioned Infrastructure (IPI) รองรับการใช้งานกับนูทานิคซ์: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้กระบวนการ IPI เพื่อติดตั้ง OpenShift บนสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลไลซ์ของนูทานิคซ์ ได้แบบอัตโนมัติด้วยการคลิกครั้งเดียว พร้อมผสานรวมการทำงานร่วมกัน
- สถาปัตยกรรมเพิ่มเติมสำหรับแซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์ (Sandboxed Container) รวมถึงความสามารถในการรันแซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์บน AWS และบน OpenShift แบบซิงเกิลโหนด แซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์ใช้เป็นเลเยอร์เพิ่มเติมสำหรับการแยกเวิร์กโหลด แม้กระทั่งที่ส่วนเอดจ์ของเครือข่ายที่อยู่ไกลออกไปก็ตาม
เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบบนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด
ในการจัดการเวิร์กโหลดต่าง ๆ อาจจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการคอนเทนเนอร์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่เอดจ์ Red Hat Advanced Cluster Management 2.6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Red Hat OpenShift Platform Plus จึงได้เพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงความพร้อมใช้งานในกรณีการใช้งานที่มีลาเทนซีสูงและแบนด์วิธต่ำ
Red Hat Advanced Cluster Management hub cluster เดียวสามารถใช้และบริหารจัดการคลัสเตอร์ OpenShift แบบซิงเกิลโหนดได้มากถึง 2,500 คลัสเตอร์ ซึ่งสามารถใช้และจัดการที่เอดจ์ของเครือข่ายโดยไม่ต้องกำหนดค่าใด ๆ) นอกจากนี้ Red Hat Advanced Cluster Management 2.6 ยังประกอบด้วยตัวเก็บรวบรวมข้อมูลดัชนีที่เอดจ์ ซึ่งเหมาะสำหรับเวิร์กโหลดแบบซิงเกิลโหนด และเวิร์กโหลดขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของระบบผ่านการเชื่อมต่อระยะไกล
นอกจากนั้น Red Hat Advanced Cluster Management ยังสามารถทำงานผสมผสานกับเครื่องมือสำคัญ ๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้เวิร์กโฟลว์ที่มีอยู่ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการบูรณาการที่สำคัญได้แก่:
- การมองเห็นแอปพลิเคชันได้อย่างกว้างขวางโดยอัตโนมัติ รวมถึงสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ ของแอปพลิเคชันได้กว้างขึ้น และแสดงให้เห็นแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยตรงผ่าน OpenShift
- การจัดการคลัสเตอร์โดยตรงจาก Red Hat Ansible Automation Platform ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีพรีวิว ช่วยให้ผู้ใช้ Ansible สามารถโต้ตอบกับ Red Hat Advanced Cluster Management ได้ในแบบเนทีฟ
- การบูรณาการเข้ากับ Kyverno PolicySet ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีพรีวิว ช่วยให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้นในการปรับใช้นโยบาย Kubernetes
บริการข้อมูลและที่เก็บข้อมูลถาวร (Persistent Storage) ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับโมเดิร์นเวิร์กโหลดองค์กรต่าง ๆ ที่โยกย้ายระบบไปยังไฮบริดคลาวด์ มักจะมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการกู้คืนระบบให้กลับสู่ภาวะปกติ ด้วยเหตุนี้ เพื่อช่วยป้องกันปัญหาข้อมูลสูญหายและการหยุดชะงักของธุรกิจในกรณีที่ระบบเกิดล้มเหลว Red Hat OpenShift Data Foundation 4.11 จึงมี OpenShift API สำหรับการปกป้องข้อมูล โดยสามารถใช้ API ของผู้ให้บริการเพื่อแบ็คอัพและกู้คืนแอปพลิเคชันและข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง หรือใช้แอปพลิเคชันการปกป้องข้อมูลที่มีอยู่โดยครอบคลุมไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด
นอกจากนั้น Red Hat OpenShift Data Foundation ยังรองรับการตรวจสอบแบบมัลติคลัสเตอร์ผ่านทาง Red Hat Advanced Cluster Management ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะการจัดการข้อมูลคลัสเตอร์ได้อย่างครบถ้วนจากจุดเดียว โดยครอบคลุมหลายคลัสเตอร์ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้วยการผนวกรวมการจัดการคลัสเตอร์สำหรับระบบต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือหนึ่งเดียว