ในยุคที่เทรนด์โลกขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสีเขียว ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จึงร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวหลักสูตรออนไลน์ “Greentech & Innovation Program” เสริมสร้างทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวให้กับภาคธุรกิจไทย พร้อมปลุกพลัง Green Talent สู่เป้าหมาย Net Zero กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ภายใต้บรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา
กิจกรรมในครั้งนี้ ยังต่อยอดความรู้สู่วงเสวนาเชิงนโยบายผ่านเวที “Greentech & Innovation: Shaping Global Policy for Sustainability” หรือ “เทคโนโลยีนวัตกรรมสีเขียวกับการขับเคลื่อนนโยบายระดับโลกสู่ความยั่งยืน” ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ และภาควิชาการ ร่วมหารือแนวทางการใช้เทคโนโลยีสีเขียวเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนโยบายในระดับประเทศและสากล ในเวทีนี้ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้เน้นย้ำบทบาทของนวัตกรรมในฐานะเครื่องมือหลักของผู้ประกอบการไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานโลก ร่วมด้วย ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาคองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประจำประเทศไทย โดยมีศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีด้านความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBis) รับหน้าที่ดำเนินรายการ และเชื่อมประเด็นอย่างรอบด้าน เพื่อสะท้อนถึงพลังของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้กล่าวในเวทีเสวนา ว่า ปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และกฎระเบียบระหว่างประเทศ เป็นตัวเร่งให้ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการในทุกระดับ ต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในระยะยาว โดยแม้แต่ภาคการเกษตรซึ่งถือเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ก็ไม่อาจละเลยผลกระทบที่เกิดจากการใช้ปัจจัยการผลิตที่ไม่ยั่งยืน เช่น ปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีเกษตร ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
พร้อมชี้ให้เห็นถึง แนวโน้มธุรกิจที่สนับสนุน “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy) และมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่
- เกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture)
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
- เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy)
- พลังงานสะอาด (Clean Energy)
- นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Innovation)
- การดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS)
- การจัดการข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data Utilization & Management)
- การบริหารจัดการแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ดร.กริชผกา ยังชี้ให้เห็นว่า แม้สหภาพยุโรป (EU) จะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก แต่ท้ายที่สุดประเทศไทยควรมองหาแนวทางของตนเอง โดยเฉพาะในด้านพลังงาน เช่น ไฮโดรเจน และ SMR (Small Modular Reactors) ที่เป็นโอกาสใหม่ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ แนวโน้มความสนใจของนักลงทุนต่างชาติในประเด็น เรื่อง ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนว่า ความสามารถในการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต พร้อมทั้งกล่าวถึง ประเด็นด้านกฎระเบียบใหม่ เช่น C BAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่สหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้ จะมีบทบาทอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางของนวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) ในภาคอุตสาหกรรม เพราะประเทศใดที่ปรับตัวไม่ทัน จะสูญเสียโอกาสทางการค้าและการลงทุนในระดับโลก
เน้นย้ำ “นวัตกรรมคือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน” เพราะการสร้างนวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “เงื่อนไขที่จำเป็น” สำหรับภาคธุรกิจและภาคสังคม เพราะการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการลงทุนในองค์ความรู้ เทคโนโลยี และคน
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ยังคงให้ความสำคัญกับภาค SMEs ในฐานะหัวใจของระบบนวัตกรรมไทย โดยมีการส่งเสริมทั้งในรูปแบบ หลักสูตรพัฒนาความรู้, ทุนอุดหนุนโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม, ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้กล่าว ถึงทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศ ว่า ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของโลก พร้อมเผยว่าที่ผ่านมาเราอาศัยพลังงานฟอสซิล เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งแม้จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ก็มีต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจมองข้าม ตลอดจนมุ่งมั่นสู่แนวทาง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” โดยเน้นการพัฒนา พลังงานสะอาด และ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างจริงจัง พร้อมผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องดำเนินไปอย่าง สมดุลและเป็นธรรม ได้แก่ ความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) ราคาที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ (Affordability) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) ภายใต้นโยบาย Triple S กฟผ. มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับ การผลิตพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy) ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ควบคู่กับ การสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า (Secure Supply) ให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของประเทศได้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อถือได้ พร้อมทั้งส่งเสริม นวัตกรรมอัจฉริยะ (Smart Innovation) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของระบบผลิตและการใช้พลังงาน ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตอบโจทย์อนาคตพลังงานสะอาดของไทย
และให้ความสำคัญกับการศึกษา ระบบโลจิสติกส์ และ ห่วงโซ่อุปทานพลังงาน (Energy Supply Chain) ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานสะอาด (Solar Energy) และการพัฒนา ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความไม่แน่นอนของแหล่งพลังงานหมุนเวียน และเพิ่มเสถียรภาพให้แก่ระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ กฟผ. คือ การผลักดันโครงการ ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ให้ทันสมัยและครอบคลุมอุปกรณ์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีมาตรฐานรองรับ โดยเน้นความรวดเร็วในการวิจัย ทดสอบ และออกแบบมาตรการส่งเสริม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและช่วยลดการใช้พลังงานอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน พลังงานสะอาดอาจมีต้นทุนสูงกว่าพลังงานดั้งเดิม แต่ในระยะยาว การลงทุนในด้านนี้จะส่งผลดีทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มใช้มาตรการทางการค้า เช่น CBAM ที่จะกระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทย ตลอดจนมองว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”ทั้งจากภาครัฐ เอกชน สถาบันวิจัย และประชาชน โดยเฉพาะภาค SME ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในระบบเศรษฐกิจของประเทศ “ประเทศจะอยู่ไม่ได้ หากไม่มี SME” กฟผ. พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับระบบพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต” ดร.นรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาคองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ประจำประเทศไทย กล่าวว่าบทบาทสำคัญของ (UNIDO) คือการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อที่ 9 ซึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมนวัตกรรมและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำว่า “การพัฒนาไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถถอยหลังกลับไปได้อีกต่อไป แต่เราจำเป็นต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและสมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติและสังคม”
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนานวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) เป็นไปได้จริง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องมองเห็น โอกาสในการแข่งขันจากการลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว หากเริ่มต้นก่อน ลงทุนก่อน จะทำให้มีความได้เปรียบทางการค้าต่อคู่แข่งในอนาคต แม้ว่าการเริ่มต้นในวันนี้อาจใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนในระยะยาวจะเป็นรายได้ที่มั่นคง พร้อมกับความภาคภูมิใจในฐานะผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้จริง
สำหรับบทบาทของประเทศไทย คงเห็นว่ายังมีช่องว่างในเรื่องการเชื่อมโยงองค์ความรู้และงานวิจัยเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งต้องการการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีที่เหมาะสม หากเราสามารถสร้างเครือข่ายและระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างงานวิจัย ผู้ประกอบการรายใหญ่ จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในภาพรวม และส่งเสริมการเติบโตของ SME ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่มี SME ประเทศไทยก็ไม่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน” ดังนั้น การสนับสนุน SME ให้เข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จำเป็นจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง