ความจำเป็นของผู้ประกอบการ F&B ต้องใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมที่มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน


ประเทศไทยได้กำหนดเส้นทางสู่การเป็นศูนย์กลางการส่งออกอาหารระดับโลก ภาคส่วนอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) เป็นผู้มีส่วนร่วมหลักต่อเศรษฐกิจของประเทศ และความต้องการสินค้าของไทยในตลาดโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไฟตกบ่อยครั้งและต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นสร้างความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตของไทย ทำให้ประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการผลิตลดลง และเป็นการคุกคามต่อเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความน่าเชื่อถือด้านการส่งออก ทางกองบรรณาธิการ Electricity & Industry ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมภาษณ์กับ สเวน เบอดัว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับโลก และ กมล พรชัยชนะกิจ กรรมการผู้จัดการ Flottweg ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่าง ๆ

สเวน เบอดัว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับโลก กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงที่จับตามองเป็นอย่างมาก Flottweg ที่ได้มีการสนับสนุนผู้ผลิตไทยมามากกว่า 30 ปี บริษัทฯ ได้เห็นถึงความเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น หรือปัญหาด้านพลังงาน แต่ถึงเผชิญกับปัญหาดังกล่าวประเทศไทยยังคงรักษาสถานะความเป็น “Global Food Hub” ได้อย่างมั่นคง

ขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลกและรายได้ที่สูงขึ้นยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีของ Flottweg ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ทรัพยากรอันมีค่าได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด คงความยืดหยุ่นในการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ไม่เพียงเฉพาะในระดับเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมทั้งกระบวนการผลิตทั้งหมด โซลูชันของบริษัทได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนความยั่งยืน ในปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เปรียบเสมือน “ใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ” สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

กมล พรชัยชนะกิจ กรรมการผู้จัดการ Flottweg ประเทศไทย กล่าวว่า Flottweg หนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีการแยกของแข็งและของเหลวระดับโลก ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับ “ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” และ “ความยั่งยืนในการผลิต” มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครื่องจักรของ Flottweg ออกแบบมาเพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก แน่นอนว่าหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ผู้ใช้งานให้ความกังวลคือ “ปัญหาไฟตกหรือไฟดับ” ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องจักรและระบบควบคุมภายใน ดังนั้น Flottweg จึงให้ความสำคัญกับการเลือกใช้อุปกรณ์และระบบเสริมที่สามารถรองรับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การติดตั้งระบบ UPS ทำหน้าที่เสมือนแบตเตอรี่สำรอง เมื่อเกิดเหตุไฟดับโดยไม่ทันตั้งตัว ระบบ UPS จะทำหน้าที่สำรองไฟและบันทึกข้อมูลสำคัญก่อนที่เครื่องจะหยุดการทำงาน ช่วยป้องกันความเสียหายของข้อมูลและลด Downtime ได้อย่างมีนัยสำคัญ กรณีที่ไฟดับนานถึง 30 นาที ระบบยังสามารถบันทึกข้อมูลไว้ได้ครบถ้วน และเมื่อไฟฟ้ากลับมา เครื่องจักรก็สามารถกลับมาทำงานตามกระบวนการเดิมได้ทันที

อีกหนึ่งจุดแข็งของ Flottweg คือการมีศูนย์สำรองอะไหล่และอุปกรณ์ในประเทศไทย ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าไม่ต้องรอชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ลดระยะเวลาการหยุดชะงักของการผลิตและเพิ่มความต่อเนื่องในการดำเนินงาน ในด้านเทคโนโลยี “Simp-Drive” เป็นกลไกเฉพาะของ Flottweg ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานที่ช่วยให้เครื่องจักรสามารถแยกของแข็งและของเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทั่วไป อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการพลังงานได้อย่างชาญฉลาด โดยระบบจะคำนวณและแปลงพลังงานที่สูญเสียระหว่างการทำงานให้กลับมาใช้งานใหม่ เช่น พลังงานที่สูญเสีย 20% จากการเดินเครื่องสามารถถูกนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ส่งผลให้ลดการใช้ไฟฟ้ารวมของเครื่องจักรลงอย่างเห็นได้ชัด

เทคโนโลยีดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงาน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตัวอย่างเช่น โรงงานที่ใช้วิธีการกรองหรือตกตะกอนแบบเดิม สามารถนำเครื่องจักรของ Flottweg มาทดลองใช้งานและคำนวณผลการประหยัดพลังงานได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยพบว่าสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–30% ต่อรอบการผลิต นอกจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้ว Flottweg ยังมีบทบาทในหลายอุตสาหกรรมของประเทศไทย อาทิ อุตสาหกรรมบำบัดน้ำเสีย อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม น้ำมันพืช และปิโตรเคมี ต่างก็ใช้เทคโนโลยี Separation เพื่อคัดแยกของแข็ง ของเหลว หรือสารเคมีออกจากกันอย่างแม่นยำ

เพื่อเสริมความยืดหยุ่นต่อความผันผวนด้านพลังงานและการหยุดชะงักในการดำเนินงาน ผู้ผลิตไทยต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีการแยกขั้นสูงมาใช้ เครื่องดิเคนเตอร์ เครื่องปั่นแยก และระบบกรองแบบบูรณาการไม่ใช่สิ่งที่เลือกใช้ได้อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน มีเสถียรภาพ ลดเวลาหยุดทำงานและลดของเสีย

นอกเหนือจากการอัปเกรดอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว ผู้ผลิตควรผนวกระบบเหล่านี้เข้ากับกลยุทธ์ดิจิทัลและการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการที่กว้างขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าสายการผลิตสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อความผันผวน รักษามาตรฐานคุณภาพ และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและการส่งออก เทคโนโลยีการแยกขั้นสูงยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการดำเนินงานท่ามกลางความผันผวนของพลังงาน ด้วยการบูรณาการแหล่งพลังงานสำรองระยะสั้นและระบบควบคุมกระบวนการอัจฉริยะ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดเวลาหยุดทำงานในช่วงไฟตก ทำให้กระบวนการไหลของผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้ขั้นตอนการทำความสะอาดและการเริ่มต้นใหม่ง่ายขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้คืนผลพลอยได้ที่มีค่า ช่วยผู้ผลิตลดของเสียและรักษาประสิทธิภาพไว้ได้ ความสามารถเหล่านี้รวมกันช่วยให้ผู้ผลิตไทยสามารถเพิ่มผลผลิตและปกป้องคุณภาพของการผลิตได้แม้ภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทาย กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเพื่อผลผลิตสูงสุด เทคโนโลยีการแยกที่เป็นเลิศช่วยให้ผู้ผลิตไทยสามารถรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานได้ โดยการบูรณาการเซนเซอร์อัจฉริยะ การควบคุมแบบอัตโนมัติ และการติดตามผลแบบเรียลไทม์ เพื่อรักษาการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพแม้ในช่วงไฟตกและไฟดับ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ผู้ผลิตมีความคล่องตัวภายใต้เงื่อนไขที่ผันผวนและลดเวลาหยุดทำงาน ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการแยกอัจฉริยะยังขับเคลื่อนประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดการใช้ไฟฟ้าลงโดยรวม ซึ่งหมายความว่าไฟฟ้าที่ไม่เสถียรจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานการผลิตน้อยลง ระบบอัจฉริยะยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และปรับปรุงการกู้คืนผลพลอยได้ที่มีค่า พร้อมทั้งลดการสูญเสียวัสดุและน้ำการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติ การตรวจสอบ และการควบคุมแบบปรับตัวของเทคโนโลยีการแยกอัจฉริยะ มอบเครื่องมือให้ผู้ผลิตไทยสามารถรักษาผลิตภาพ ปกป้องกำไร และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งแนวทางที่ Flottweg มุ่งเน้นคือ “Turn Waste to Product” หรือการแปรรูปของเสียให้กลับมามีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยมีการออกแบบระบบเฉพาะ (Key System) ให้เหมาะสมกับลักษณะของเสียแต่ละประเภท ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “โครงการฟิชออยล์แพลนท์” Flottweg ได้เข้าไปช่วยออกแบบกระบวนการแปรเศษซากปลาหลังการแร่ให้กลายเป็นน้ำมันปลาและอาหารสัตว์ ผลักดันให้ของเสียในอุตสาหกรรมกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่า

Flottweg จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตเครื่องจักรเท่านั้น แต่เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่การผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้ Flottweg ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแยกของแข็งและของเหลว (Separation Technology) ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยความเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยีไม่เพียงต้องตอบโจทย์ด้านผลผลิต แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมควบคู่กัน

สเวน เบอดัว กล่าวเพิ่มเติมว่า Flottweg มุ่งมั่นที่จะสร้าง “ความร่วมมือ” อย่างใกล้ชิดกับลูกค้าชาวไทย เพื่อให้การดำเนินงานในทุกภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ F&B ปิโตรเคมี พลังงาน ไปจนถึงระบบบำบัดน้ำเสีย สามารถยกระดับสู่มาตรฐานสากลได้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการ “ส่งเสริมความยั่งยืนให้เป็นหลักการดำเนินงานสำคัญ” ผ่านเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและการออกแบบระบบที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

หนึ่งในหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์นี้ คือการส่งเสริมการวัดและติดตามประสิทธิภาพการใช้พลังงาน น้ำ และของเสีย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นภาพรวมของการใช้ทรัพยากรได้อย่างเป็นระบบ เมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจน ก็สามารถวิเคราะห์และค้นหาโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดการสูญเสีย และเพิ่มผลตอบแทนได้ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” (Data-Driven Industry)

นอกจากนี้ Flottweg ยังให้ความสำคัญกับ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพสูงสุดด้วยการจัดหา “ตู้ควบคุมอุณหภูมิคงที่” (Climate-Controlled Control Cabinets) สำหรับเครื่องจักรในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง ความชื้นมาก หรือมีฝุ่นละออง เพื่อให้ระบบควบคุมและอุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และลดโอกาสการหยุดชะงักของสายการผลิต อีกหนึ่งนวัตกรรมที่สะท้อนถึงการมองไปข้างหน้าของ Flottweg คือระบบเชื่อมต่อข้อมูลและ HMI ที่ใช้งานง่าย (Ingo) ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User-Friendly Interface) ช่วยให้การเรียนรู้และการใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลของโรงงาน เพื่อสนับสนุนแนวคิด Smart Factory ที่กำลังเป็นทิศทางหลักของอุตสาหกรรมทั่วโลก Flottweg ยังให้ความสำคัญกับการ สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านเทคโนโลยีการแยกที่สามารถนำทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้อย่างมีคุณค่า เช่น การกู้คืนน้ำมันมีค่าจากกระบวนการผลิต หรือการแปรรูปของแข็งที่เหลือจากการผลิตให้กลายเป็นอาหารสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ในเชิงพาณิชย์ แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดของเสีย แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสังคมโดยรวม

ด้วยแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีที่ผสมผสานทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน Flottweg จึงไม่เพียงเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังเป็น “พันธมิตรทางเทคโนโลยี” ที่พร้อมเดินเคียงข้างภาคอุตสาหกรรมไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

Flottweg ขอเชิญชวน วิศวกรและผู้ประกอบการไทย ติดตามช่อง YouTube และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบริษัท (LinkedIn, Facebook) เพื่อรับชมเรื่องราวตัวอย่างและกรณีความสำเร็จระดับโลก ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจและให้ไอเดียเชิงปฏิบัติสำหรับการนำโซลูชันที่พิสูจน์แล้วไปปรับใช้ในภาคอุตสาหกรรมของไทยได้อย่างเหมาะสมและยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมส่งต่อองค์ความรู้สู่สังคมวิศวกรรมไทยในวงกว้าง