สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ริเริ่มโครงการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข หรือ 2P @Safety Tech (Patient and Personnel at Safety Technology Awards) จับคู่ธุรกิจซอฟต์แวร์กับโรงพยาบาลระยอง พัฒนา “ระบบระบุตัวตนผู้ป่วยแผนกฉุกเฉิน” ตอบโจทย์ “ถูกต้อง-รวดเร็ว-แม่นยำ” เตรียมก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ และยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยง ลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า โครงการ 2P @Safety Tech ว่า สวทช. ร่วมกับ สรพ. ในการประสานความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลและผู้ประกอบการเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์ เพื่อนำนวัตกรรมมาช่วยให้ระบบงานบริการในโรงพยาบาลสะดวกและง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรการแพทย์ ซึ่งโครงการฯ นี้เริ่มเมื่อปี 2561 โดย สรพ. ได้เปิดโอกาสให้โรงพยาบาลที่มีความต้องการจะยกระดับการบริการได้ระบุปัญหาในรูปแบบข้อเสนอโครงการที่มีโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าโรงพยาบาลจะต้องมีความพร้อมที่จะนำไปใช้ให้แก้ปัญหาและเกิดประโยชน์ได้จริง จากนั้นทาง สรพ. และ สวทช. จะนำข้อเสนอโครงการมาพิจารณาคัดเลือกและจับคู่กับ นักวิจัย นวัตกรหรือผู้ประกอบการเทคโนโลยีที่ สวทช.มี เพื่อนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาและยกระดับการบริการตามข้อเสนอโครงการของโรงพยาบาล
แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ รองผู้อำนวยการ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กล่าวว่า สรพ. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนมาตรฐานคุณภาพการให้บริการในสถานพยาบาลทั่วประเทศ และโครงการฯ นี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขับเคลื่อนนโยบายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้โรงพยาบาลในโครงการ 2 P Safety Hospital ได้พัฒนานวัตกรรมสำหรับแก้ไขปัญหา อุบัติการณ์ความเสี่ยงตามแนวทางเป้าหมายความปลอดภัย Patient and Personnel Safety Goal (SIMPLE) 2 ภายใต้แนวคิด Human Factor Engineering วิศวกรรมปัจจัยมนุษย์ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการลดความผิดพลาดในการทำงานของมนุษย์ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้ป่วยปลอดภัย เราก็ปลอดภัย
นายแพทย์ไชยสิทธิ์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง กล่าวว่า ความสำคัญของระบบระบุตัวตนผู้ป่วยแผนกฉุกเฉิน นั้นด้วยนวัตกรรมริสแบนด์นั้น เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินที่ต้องการระบุตัวผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาการระบุตัวผู้ป่วยได้แม่นยำและสามารถใช้ข้อมูลในการระบุตัวตน บันทึกการทำหัตถการต่างๆ และนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์การทำงานร่วมกัน ทำให้ลดการบันทึกซ้ำที่ไม่จำเป็น ซึ่งอุปกรณ์ต้องมีความสะดวกต่อผู้ใช้งาน และมีความคุ้มทุนต่อโรงพยาบาล โดยระบบฯ สามารถระบุข้อมูลพื้นฐานสำคัญของผู้ป่วยอย่างน้อย 13 ฐานข้อมูล ซึ่งจากการเก็บข้อมูลวิจัยพบว่ามีความแม่นยำถึง 100% และสามารถลดระยะเวลาการสอบถามประวัติพื้นฐานผู้ป่วย ทำให้การรักษารวดเร็วแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีสติสัมปชัญญะไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้นในการระบุตัวผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบันมีการนำมาใช้กับผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินทุกประเภทความรุนแรง โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน ทำให้เกิดการพัฒนาในตัวอุปกรณ์และระบบ เพื่อสอดคล้องกับการทำงานมากขึ้น เป็นต้นแบบให้กับทุกโรงพยาบาลที่เข้ามาศึกษาดูงานและนำไปปรับใช้กับโรงพยาบาลของตนจนทำให้เกิดกระแส 2P safety ที่มากขึ้นในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล
ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้แล้ว ทางโรงพยาบาลก็จะนำริสแบนด์มาลบข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยทันที และสามารถนำริสแบนด์กลับมาใช้ซ้ำได้ถึง 200,000 ครั้ง ในอนาคตหากมีการขยายผลการใช้ไปยังแผนกอื่นๆ ของโรงพยาบาลแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดขั้นตอนการทำงานของทีมแพทย์ ผู้ป่วยก็จะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที และเพื่อเป็นมาตรฐานการทำงานเดียวกันทั้งโรงพยาบาล และเตรียมขยายผลไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อใช้ในงานส่งเสริมสุขภาพของบุคลากรในโรงงานต่อไป