ทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ใช้เครื่องมือดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่เป็นบรรทัดฐานสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างโลกที่มีตัวตนและโลกดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมหลัก ๆ ในการขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าองค์กรใดหรือหน่วยงานใด ๆ ก็แล้วแต่ที่กําลังวางแผนการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นที่สําคัญเพื่อธุรกิจหรืองานทางด้านการบริการลูกค้าต่าง ๆ ทั้งนี้ Edge Computing ได้กลายเป็น Workload หนึ่งที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคของดิจิทัล เพื่อตอบรับต่อเทรนด์ทางด้านโซลูชั่นระบบ AI และ IOT โดยเฉพาะ Edge Computing ที่กำลังมาแรงในการตอบสนองภาคอุตสาหกรรมเพื่อเร่งการประมวลผลทางด้านข้อมูลในการอำนวยความสะอวดทางด้านการบริการให้เกิดความรวดเร็วและสามารถเชื่อมต่อทั่วโลกเข้าหากันที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมในอนาคต
บริษัท นูทานิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ และโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ช่วยให้ฝ่ายไอทีไม่ต้องกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และสามารถมุ่งเน้นกับความสำคัญบนแอปพลิเคชั่น และบริการที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ บริษัททั่วโลกใช้ซอฟต์แวร์ Enterprise Cloud OS ของนูทานิคซ์ เพื่อให้บริหารจัดการแอปพลิเคชั่นได้ในคลิกเดียวและสามารถโยกย้ายไปมาได้ทั้งพับลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และดิสทริบิวเต็ดเอจด์คลาวด์ ดังนั้นจึงสามารถใช้แอปพลิเคชั่นได้ทุกขนาด และทุกรูปแบบด้วยต้นทุนรวมที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้องค์กรสามารถให้บริการสภาพแวดล้อมไอทีประสิทธิภาพสูงตามความต้องการได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นูทานิคซ์ฯ ผู้นำด้านคลาวด์สำหรับองค์กร ได้พัฒนาความล้ำหน้าแห่งนวัตกรรมใหม่ คือ Edge Computing ซึ่งเป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Realtime คือ ระบบที่สามารถให้การตอบสนองจากระบบอย่างทันทีทันใดเมื่อได้รับอินพุตเข้าไป) ที่ต้องการปรับขยายโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพื่อรองรับการขยายตัว Nutanix Acropolis, AHV และ Prism จะช่วยให้แอพพลิเคชั่นและโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กรแข็งแกร่ง บน Nutanix Enterprise Cloud Platform และมีประสิทธิภาพขึ้น
ดีราช ปานเดย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “บริษัทได้รับการยอมรับจากการ์ทเนอร์ในฐานะผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในการบุกเบิกนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป้าหมายของนูทานิคซ์คือการทำให้การใช้ไอทีและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เป็นเรื่องง่าย เพื่อเป็นขุมพลังให้กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเติบโตของธุรกิจ สิ่งที่นูทานิคซ์มอบให้กับลูกค้าคือความยืดหยุ่นที่ไม่เพียงแต่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์และโซลูชันของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความอิสระที่ลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบการใช้งาน HCI ที่เหมาะกับธุรกิจของตนมากที่สุด รวมถึงการสมัครใช้ซอฟต์แวร์ไลเซนส์ต่าง ๆ ที่สามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์และบนสภาพแวดล้อมคลาวด์อีกด้วย”
ทางด้าน ซาเตียม วัคกานิ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายโซลูชั่น IOT และ AI บริษัท นูทานิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การพัฒนา Edge Computing นี้ เพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะยุคดิจิทัลในเทรนด์ปี 2020 ระบบ IOT และ AI จะเข้ามามีบทบาทเกือบทุกธุรกิจ ซึ่ง Edge Computing จะมีความปลอดภัยในข้อมูล สามารถช่วยลดต้นทุน สร้างยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วทำให้งานด้านบริการง่ายขึ้นทั้งในส่วนของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ และจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ดังนั้น แอปพลิเคชั่นตัวนี้จะช่วยเป็นเครื่องมือการทำธุรกิจในอนาคตและเชื่อมกับเทคโนโลยีในเพื่อรองรับระบบ 5G ที่กำลังจะมาถึงในระยะเวลาอันใกล้นี้ มันจะเป็นตัวช่วยที่เกิดประโยชน์ต่อทุกคน”
ขณะที่ ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ฯ กล่าวว่า “ในนามนูทานิคซ์ฯ ได้พัฒนา EDGE Computing ด้วยความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์ฯ จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้แอปพลิเคชันทั้งหมดในการแก้ปัญหาความล่าช้าของข้อมูลหรือการบริการด้านต่าง ๆ มันจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานและไลเซนส์ที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างต้นทุน ประสิทธิภาพและผลิตผล รวมไปถึงกลุ่มผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์และเวอร์ชวลไลเซชันจำนวนมาก ซึ่งนูทานิคซ์ฯ จึงต้องปรับทุกสิ่งเพื่อตอบโจทน์ตามความต้องการของลูกค้าในการที่จะเติบโต ขยายขนาดและประสบความสำเร็จทางธุรกิจ”
ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 40 จากรายงานดัชนีการแข่งขันระดับโลก 4.0 และเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่ดึงดูดความสนใจและมีความมั่นคงในการมาลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยี เช่น IOT, AI ที่จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและการลงทุนในอนาคต