ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงระยะขยายโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำคืบหน้า เร่งเพิ่มประสิทธิภาพระบบเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศของไทย รองรับทราฟิกกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน พร้อมสู่การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอี กล่าวว่า ในขณะนี้ความคืบหน้าการเร่งดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ระยะที่ 2 : เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ซึ่ง บมจ. กสท โทรคมนาคม(CAT) เป็นผู้ดำเนินการ 3 ระยะโดยมุ่งสู่เป้าหมายผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลดิจิทัลอาเซียนและส่งเสริมศักยภาพของไทยให้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของอาเซียนสู่ยุคดิจิทัลระยะที่ดำเนินใกล้แล้วเสร็จ ระยะที่ 1.มีการขยายความจุโครงข่ายภายในประเทศเชื่อมโยงไปยังชายแดด เพื่อเชื่อมต่อประเทศกัมพูชา ลาว และ เมียนมา รวมความจุที่ขยายเพิ่ม 2300 Gbps อยู่ในระหว่างการทดสอบและติดตั้งอุปกรณ์ใน 151 สถานีทั่วประเทศ และระยะที่ 2. การขยายความจุระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่มีอยู่ในเส้นทางสิงคโปร์ จีน (ฮ่องกง)และสหรัฐอเมริกา จำนวน 3 ระบบ คือ AAG, APG, FLAG โดยรวมความจุที่ขยายเพิ่ม1,770 Gbps ซึ่ง CAT ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วสามารถรองรับปริมาณทราฟิกทั้งประเทศซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 7,512 Gbps ช่วยลดต้นทุนค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตลดลง เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐที่เป็นประโยชน์
สำหรับระยะที่ 3 การลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่เพื่อเชื่อมโยงประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกงญี่ปุ่น ไทย จีน เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ งบประมาณ 2,000ล้านบาท ล่าสุดผ่านการเสนอต่อ ครม.รับทราบและอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยคาดว่าจะมีการลงนามในเอกสารข้อตกลงระหว่างภาคีสมาชิกภายในเดือนกรกฎาคม 2562 และลงนามสัญญาจ้างภายในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถทดสอบระบบรวมถึงส่งมอบสิทธิการใช้งานให้กระทรวงดีอีภายในปี 2564
พันเอกสรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT ขณะนี้การดำเนินในแต่ละระยะมีความคืบหน้า จะมีการเซ็นสัญญาร่วมระหว่างอาเซียนกับจีนในการเชื่อมโยงโครงข่าวร่วมกัน และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการติดต่อสื่อสารสำหรับกลุ่มอาเซียนตอนบนซึ่งจะส่งผลดีต่อโครงการระเบียบเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันทำได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ รายใหญ่มาตั้งฐานข้อมูลในประเทศไทย
โครงการ Digital Park Thailand ซึ่งเป็นพื้นที่ส่งเสริมพิเศษตามนโยบาย EEC สำหรับรองรับนักลงทุนด้านดิจิทัลประเทศไทยและจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น 5G,AI, Cloud, IoTs, Smart City, Big Data รวมถึงเป็นจุดสนใจสำหรับผู้ประกอบกิจการคอนเทนต์ระดับโลก โดยประเทศไทยตั้งอยู่ ณ จุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการเป็นศูนย์กลางการติดต่อสื่อสารสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน ได้แก่ กัมพูชา ลาวและเมียนมา ซึ่งประเทศเหล่านี้มีการเติบโตของอินเทอร์เน็ตทราฟิกสูง อันจะทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาศักยภาพก้าวสู่การเป็น ASEAN Digital Hub ตอนบนได้อย่างมั่นคง